SEO

SEM คืออะไร ต่างกันยังไงกับ SEO แล้วทำไมต้องมาคู่กัน

Pannakan Warawattananon | สิงหาคม 25, 2023

Fast To Read

หลายแบรนด์ที่อยากโปรโมทเว็บไซต์บนโลกออนไลน์ หรือหันมาสนใจทำการตลาดออนไลน์ น่าจะพอคุ้นหูกันดีกับคำว่า SEO ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจและกำลังมาแรง และเมื่อค้นหาข้อมูลไปเรื่อยก็อาจจะพบกับคำว่า SEM คำถามที่หลายๆ คนอาจสงสัยก็คือ SEM คืออะไร ยิ่งถ้าได้ยินพร้อมกับคำว่า SEO ก็อาจจะสงสัยว่า แล้ว SEO แตกต่างกับ SEM ยังไง ทำไมเวลาคุยกับเอเจนซี่หลายๆ ที่แล้ว ถึงต้องแนะนำให้ทำเจ้าสองอย่างนี้ควบคู่กัน วันนี้เราจะพาคุณมาหาคำตอบกัน

SEM คืออะไร

SEM ย่อมาจาก Search Engine Marketing เป็นส่วนหนึ่งของการคือการทำการตลาดบน Search Engine (Search Engine Marketing) ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อโฆษณาบนเสริชเอนจิ้น

โดยเมื่อพูดถึง SEM จะหมายถึงการทำการตลาดบน Search Engine (กูเกิล) ในรูปแบบของการจ่ายเงินเพื่อซื้อโฆษณาที่อาจเรียกกันว่า PPC หรือ Pay Per Click ที่มีการเก็บเงินจากผู้ซื้อโฆษณา (ผู้ประกอบการ) ตามจำนวนคลิก

SEM คืออะไร

เพราะว่าเสริชเอนจิ้นที่ป๊อปปูล่าที่สุดในชั่วโมงนี้คือ กูเกิล (Google) ดังนั้นจึงไม่แปลกที่พอพูดถึง SEM แถบจะทุกคนก็จะหมายถึง Google Ads (หรือที่เคยเรียกกันอย่างติดปากว่า Google Adwords) คือช่องทางหลักในการทำการตลาดแบบ SEM

ในการซื้อโฆษณาบน Google Ads นั้น ผู้ทำโฆษณาจะต้องมีการประมูลคีย์เวิร์ด (Keyword) เพื่อกำหนดคีย์เวิร์ดที่อยากให้เว็บไซต์ไปปรากฏอยู่เมื่อมีการค้นหาเกิดขึ้น โดยตำแหน่งของโฆษณาที่เอเจนซี่ทำให้คุณนั้นจะอยู่ตรงไหนก็เกิดขึ้นได้หลายปัจจัย ทั้งจากในเรื่องของเพดานราคาต่อคลิกที่เรากำหนด ทั้งคะแนนคุณภาพของเว็บไซต์ของเรา ถ้าสิ่งที่เราที่โฆษณาตรงกับคีย์เวิร์ดมากเท่าไหร่ก็จะได้คะแนนคุณภาพที่ดีขึ้น

SEO คืออะไร

SEM คืออะไร

SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimisation เป็นส่วนหนึ่งของการคือการทำการตลาดบน Search Engine (Search Engine Marketing) ที่เกี่ยวข้องกับการดันอันดับเว็บไซต์บนเสริชเอนจิ้น (แต่ไม่ใช่การซื้อโฆษณา)

การทำ SEO จะมีการใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การใช้คีย์เวิร์ด การปรับแต่งรูปแบบและเนื้อหาของเว็บไซต์ให้ถูกใจกูเกิล และสามารถตอบสนองตรงตามความต้องการของผู้ค้นหา (Search Intent) ได้

การทำ SEO สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลักๆ คือ

On-page SEO

คือการปรับปรุงเนื้อหาและการปรับเปลี่ยนในรูปแบบอื่นๆ ที่เกิดขึ้นจำกัดภายในตัวเว็บไซต์ ทั้งหมดเพื่อเป้าหมายคือให้ Google สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น เข้าใจเนื้อหาบนเว็บไซต์ของเราได้ดีขึ้น

Off-page SEO

คือการทำให้เว็บไซต์ของเราถูกอ้างอิงถึง และเป็นที่รู้จักมากขึ้นในโลกออนไลน์ โดยมากอาจเน้นการสร้างลิงก์ (Link Building) ที่มีคุณภาพกลับมาเว็บไซต์ของเรา โดยเว็บไซต์ต้นทางที่เราไปสร้างลิงก์กลับมาหาเว็บไซต์ของเราควรเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพเช่นกัน การสร้างลิงก์จึงจะได้ผลที่ดี

Technical SEO

คือการปรับแต่งที่จะไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาบนเว็บไซต์ หรือนอกเว็บไซต์ใดๆ โดยจะมุ่งเน้นที่โครงสร้างของเว็บไซต์ ความเร็วของเว็บไซต์ และพวกโค้ดต่างๆ 

การทำ SEO ที่ดีไม่ใช่การมุ่งเน้นทำ SEO ประเภทใดประเภทหนึ่งใน 3 ประเภทข้างต้นนี้ เอเจนซี่ที่ดีจะรู้ว่าควรผสมผสานเทคนิคต่างๆ ยังไงจากการทำ SEO ทั้ง 3 ประเภท ให้เกิดเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับเว็บไซต์ของคุณ

SEM คืออะไร

SEO vs SEM คล้ายกันยังไง

หลังจากที่ได้ทำความเข้าใจ SEO กับ SEM ไปคร่าวๆ ข้างต้น อาจจะพบว่ามันต่างกันมากกว่าเหมือนกัน แต่ทั้งสองอย่างก็มีจุดร่วมสำคัญหลายข้อที่คลายคลึงกัน จะมีอะไรบ้างมาดูกัน

ทั้ง SEO และ SEM ช่วยเพิ่ม Traffic ให้เว็บไซต์

ไม่ว่าจะทำทั้งสองอย่าง หรือเลือกแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง สิ่งที่ต้องร่วมกันแน่ๆ ก็คือทั้งสองอย่างต้องช่วยทำให้ Traffic เข้าเว็บไซต์มีพัฒนาการที่ดีขึ้น แน่นอนว่า Traffic อาจจะเด้งไปเด้งมาไม่แน่นอนในแต่ละเดือน อาจจะมีขึ้นมีลง แล้วแต่ปัจจัยภายนอกอื่นๆ ด้วย แต่ภาพรวมเมื่อเปรียบเทียบกว้างๆ ก็ควรจะเห็นว่ามีทิศทางไปในทางที่ดีขึ้น

ทั้ง SEO และ SEM มีการใช้เรื่องของคีย์เวิร์ดเข้ามาเกี่ยวข้อง

ในกระบวนการทำงานในขณะที่ทำทั้ง SEO และ SEM จะมีต้องมีเรื่องของคีย์เวิร์ดเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ เพราะเสริชเอนจิ้นเชื่อมโยงเข้ากับผู้ใช้งานด้วยคีย์เวิร์ด แต่แน่นอนว่าคีย์เวิร์ดบนโลกออนไลน์มีเป็นหลายร้อยล้าน เอเจนซี่จะต้องใช้เครื่องมือเข้ามาช่วยในการทำรีเสริชเพื่อช่วยธุรกิจของคุณหาโอกาสและความเป็นไปได้ที่จะติดอันดับด้วยคีย์เวิร์ดต่างๆ

ทั้ง SEO และ SEM ต้องใช้เวลาในการทดลองและเก็บข้อมูลเพื่อหากลยุทธ์ที่เหมาะสม

ในการทำ SEO และ SEM นั้นจะต้องใช้ทั้งเวลาและการลองผิดลองถูกเพื่อปรับหากลยุทธ์ที่เหมาะสม บนโลกนี้ไม่มีอะไรตายตัว โดยเฉพาะในโลกของธุรกิจ เอเจนซี่ที่มีประสบการณ์และความรู้อย่างลึกซึ้งล้วนเข้าใจถึงข้อนี้ดี และต้องอธิบายให้ลูกค้าเข้าใจว่า SEO หรือ SEM ไม่ใช่เวทมนตร์มหัศจรรย์ที่จะทำให้คุณมียอดขายพุ่งทันที ภายในเวลากี่เดือน แต่คือการหาข้อมูล ลองผิดลองถูก เพื่อค้นหาเส้นทางที่เหมาะสมกับเว็บไซต์ของคุณที่สุดในขณะนั้น

SEM คืออะไร

SEO vs SEM ต่างกันยังไง

ได้เห็นจุดร่วมของ SEO กับ SEM แบบคร่าวๆ ไปแล้วข้างต้น ต่อมาลองมาดูว่าแล้วทั้งสองอย่างแตกต่างกันในเรื่องอะไรบ้าง เพราะก็ตรงความแตกต่างนี่แหละอาจจะเป็นตัวตัดสินในการพิจารณาจริงไหม

SEM ได้ผลที่จะถูกมองเป็น Ads แต่ SEO ได้ผลที่จะถูกมองเป็นอันดับ Organic 

เมื่อ SEM เกี่ยวข้องกับการทำ Ads ผลที่ได้ในการค้นหานั้นเมื่อผู้ค้นหาเจอเว็บไซต์เราก็จะเห็น Label ที่บอกว่า Ads ที่เป็นการบอกให้รู้ว่าผลการค้นหานี้มีที่มาจากการจ่ายเงินเพื่อซื้อพื้นที่โฆษณา ในขณะที่การทำ SEO เมื่อผลของเว็บไซต์ขึ้นหน้าแรกจะไม่มี Label กำกับว่าเป็น Ads และผู้ค้นหาจะคิดว่าผลที่ Google เลือกสรรมาแบบธรรมชาติ (Organic) นั่นเอง ถึงแม้ว่าความจริงแล้วเบื้องหลังเว็บไซต์เหล่านั้นจะมีการจ่ายเงินทำ SEO คอยช่วยอยู่ก็ตาม

SEM & SEO Example

SEM เลือกได้ว่าจะเจาะจงกลุ่มเป้าหมายใดๆ โดยตรง SEO ไม่สามารถเลือกได้โดยตรง

เมื่อทำ SEM นั้น ตอนสร้างแคมเปญโฆษณา เราจะสามารถกำหนดได้ว่าอยากให้ผู้ที่เห็นโฆษณาเหล่านี้เป็นใคร เพศไหน รายได้เท่าไหร่ อยู่จังหวัดไหน ช่วงอายุเท่าไหร่ เช่นนี้เป็นต้น ในขณะที่การทำ SEO นั้นจะไม่สามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายได้จำเพาะเจาะจงขนาดนั้น แต่จะเป็นการพยายามดันผลผ่านคีย์เวิร์ดที่ประเมินแล้วว่ากลุ่มเป้าหมายของเว็บไซต์คุณจะใช้ค้นหา

SEM จะเห็นผลได้เร็วกว่า SEO

เพราะ SEM เป็นการจ่ายเงินเพื่อซื้อโฆษณา ดังนั้น Google สามารถที่จะทำให้โฆษณาของเว็บไซต์เราปรากฏขึ้นในการค้นหาได้ทันที ในขณะที่การทำ SEO จะต้องใช้เวลาค่อยๆ ดันเว็บไซต์ให้มีการเลื่อนอันดับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามกลไกของอัลกอริทึ่มของกูเกิล

SEO คือการลงทุนที่เก็บเกี่ยวผลได้ในระยะยาว SEM ไม่สามารถหวังผลระยะยาวได้

อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วในข้อข้างบนว่า SEM เป็นจ่ายเงินซื้อโฆษณาทำให้เราปรากฏอยู่ในการค้นหาของลูกค้าได้ทันที แต่เมื่อไหร่ที่เราเลิกจ่ายเงิน เว็บไซต์เราก็จะหายไปทันที จึงไม่ใช่การลงทุนที่สามารถเก็บเกี่ยวผลได้ในระยะยาว 

ในขณะที่ SEO นั้น แม้จะได้ผลช้า และมีกระบวนที่ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ปรากฏขึ้นอย่างทันท่วงที แต่เมื่อเราสามารถติดอันดับสูงได้แล้วอย่างมั่นคง แล้วเราต้องการลดทุนในการทำ SEO ให้น้อยลงหรือหยุดทำ ณ ช่วงระยะเวลาหนึ่ง อันดับก็จะไม่หายไปทันที จะยังสามารถคงอยู่ได้จนกว่าจะมีคู่แข่งมาเบียดเราลงนั้นเอง

SEO สามารถกระตุ้นให้เกิดการคลิกมากกว่า SEM 

ข้อนี้ง่ายมาก ลองนึกภาพกันดูว่าถ้าเป็นคุณที่ใช้กูเกิลกำลังหาอะไรสักอย่าง คุณจะอยากคลิกเยี่ยมชมเว็บไซต์ที่อยู่ในส่วนของ Ads หรือในส่วนของ Organic มากกว่า จากบทความนี้ของ SparkTaro เราจะสามารถเห็นข้อมูลกราฟได้ชัดเจนเลยว่า ผลการค้นหาในส่วนของ Organic จะมีส่วนแบ่งของจำนวนคลิกมากกว่าในส่วนของ Ads เยอะมาก

โดยธรรมชาติแล้วเราจะมีความรู้สึกต่อต้านเล็กๆ กับการคลิกที่ Ads ทำให้หากเป็นไปได้ก็อยากคลิกเข้าชมเว็บที่อยู่ตรง Organic มากกว่า ซึ่งแน่นอนกว่าข้อนี้เป็นพฤติกรรมที่อาจจะใช้ไม่ได้กับทุกคีย์เวิร์ด เพราะบางครั้งผู้ค้นหาก็อาจจะอยากคลิกที่ Ads มากกว่าก็เป็นไปได้เช่นกัน

SEM คืออะไร

SEO vs SEM แบบไหนเหมาะกับแบรนด์คุณมากกว่ากัน

เมื่อได้เข้าใจถึงความเหมือนและความต่างของ SEM กับ SEO กันไปแล้ว ลองมาดูกันว่าควรจะเลือกลงทุนกับ SEM หรือ SEO ดี ต้องเลือกยังไงให้เหมาะกับธุรกิจของคุณที่สุด

พิจารณาการแข่งขันในวงการธุรกิจของคุณ

รู้เขา รู้เรา ยังคงเป็นแนวคิดที่จำเป็นอยู่เสมอไม่ว่ายุคสมัยไหน ก่อนจะไม่แข่งกับใครก็ต้องรู้ว่าตัวตนของคู่แข่งเราบนกูเกิลนั้นเป็นอย่างไร เค้าซื้อ Ads ไหม แล้วเขียน Ads ยังไงอยู่ตำแหน่งไหน หรือติดหน้าหนึ่งเยอะไหม ติดด้วยคำว่าอะไรบ้าง เพื่อหาช่องวางที่เราพอจะแทรกเข้าไปแข่งด้วยได้ 

ยิ่งถ้าเราเริ่มทำ SEM หรือ SEO หลังคู่แข่งเรา แน่นอนว่าเราต้องล้าหลังอยู่ การจะไปแข่งอันดับได้ทันทีไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องรู้จักประเมินว่าช่องทางไหนที่เราจะสามารถเข้าไปมีพื้นที่ได้ก่อน

พิจารณาว่าธุรกิจของคุณรู้จักกลุ่มเป้าหมายลึกซึ้งแค่ไหน

ถ้าคุณฐานแน่น มีความรู้ความเข้าใจในตลาดและกลุ่มลูกค้าอย่างลึกซึ้ง ก็อาจจะถึงเวลาที่ต้องลงทุนเพื่อหวังผลระยะยาวกับ SEO จะดีกว่า แต่ถ้าเกิดว่ายังไม่ค่อยแน่ใจในตลาดของตัวเอง การทำ SEM จะทำให้คุณสามารถทดลองทำโฆษณาไปเรื่อยๆ เพื่อดูการตอบรับจากลูกค้า และศึกษากลุ่มเป้าหมายของตัวเองให้ถ่องแท้มากขึ้นได้

พิจารณาความสั้นยาวของวงจรการซื้อของคุณ

วงจรการซื้อขายของสินค้าของคุณสั้นหรือยาว ระยะเวลาที่ลูกค้าพิจารณาซื้อของนั้นมากหรือน้อย ถ้าหากว่าวงจรสั้น ก็ซื้อพื้นที่ Ads เพื่อให้สินค้าและบริการของคุณปรากฏให้ลูกค้าเห็นได้อย่างฉับไว อาจจะเป็นตัวเลือกที่ควรให้นำ้หนักมากกว่า ถ้าหากว่าวงจรในการซื้อใช้เวลาพิจารณายาวนาน จะปรากฏตัวอยู่แต่ใน Organic ก็ไม่เป็นไรอย่างนี้เป็นต้น

พิจารณาอายุของธุรกิจของคุณและสถานะของเว็บไซต์ของคุณในขณะนั้น

ถ้าหากว่าเว็บไซต์และธุรกิจของคุณนั้นใหม่มาก การทำ SEO นั้นอาจจะต้องใช้เวลามากทีเดียว ดังนั้นหากธุรกิจยังใหม่ควรเทน้ำหนักไปทาง SEM เพื่อให้เป็นที่รู้จักและมีรายได้ก่อน จากนั้นค่อยเปลี่ยนมาเทน้ำหนักที่ SEO เมื่อเว็บไซต์เริ่มมี Traffic และ Conversion ที่อยู่ตัว

แล้วคุณควรเลือกอะไร

ร่ายมายาวขนาดนี้ สรุปแล้วสุดท้ายต้องเลือกอะไรดีหล่ะ ระหว่าง SEO กับ SEM คำตอบก็คือทั้งสองอย่าง เพียงแต่อาจจะให้น้ำหนักไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับธรรมชาติของธุรกิจของคุณค่ะ การทำการตลาดในโลกดิจิทัลต้องมีการพลิกแพลงให้เข้ากับสถานการณ์และปรับให้เข้ากับปัจจัยภายในของธุรกิจของคุณด้วย ไม่มีอะไรที่ตายตัว ไม่มีสูตรสำเร็จ บางธุรกิจอาจจะไม่ต้องให้ความสำคัญกับ SEM หรือ SEO เพราะคุณเลือกที่จะทุ่มเทให้ Social ซึ่งเป็นแหล่งที่ทำรายได้ให้คุณมากกว่าก็ล้วนแล้วแต่เป็นไปได้ เพราะฉะนั้นเมื่อศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ SEM และ SEO มากันขนาดนี้แล้ว ก็ลองพิจารณากันดูนะคะว่าจะวางแผนยังไง หรือจะปรึกษาข้อความเห็นจากนักการตลาดผู้เชี่ยวชาญจากเสิร์ชสตูดิโอก็ได้ ติดต่อได้ที่อีเมล admin@searchstudio.digital เราอยากคุยกับคุณ!

Written By

Pannakan Warawattananon
เริ่มเข้าสู่สายงานนี้จากการเป็น Link builder ตัวเล็กๆ ที่ร่างไม่เล็กนัก ผ่านมา 4 ปีแล้วจาก Day 1 ยังพยายามเพิ่มพูนทักษะในสายงาน Digital Marketing อยู่เสมอ ติดบ้านแบบแงะออกยาก ชอบอ่านหนังสือ แต่สะสมไฟล์ epub มากกว่าหนังสือจริง ชอบฟัง Podcast หลงใหลใน Pop culture และการเขียนเรื่องสั้น สนใจเรื่อง Productivity เพราะเชื่อว่าเมื่อเรา Productive การทำงานจะเป็นเรื่องสนุก พูดคุยกับ Gigi ที่ LinkedIn

Leave A Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Views

Get New Articles Monthly!

Recommend Article

Free SEO
Consultation

Claim your revenue growth strategy session valued at ฿35,000 – absolutely FREE!

Limited spots available !

Let’s talk

Got an idea in your mind? Pop your info into our form
and we will get back to you shortly.