หลายคนเพิ่งจะมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองครั้งแรก แล้วก็ได้มารู้จักกับการทำ SEO เป็นครั้งแรกอีกเช่นเดียวกัน อยากให้เว็บไซต์ของตัวเองติดอันดับเร็วๆ รู้ว่าต้องเริ่มทำ SEO แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง วันนี้เราจะพาทุกคนมาดูเช็ตลิสท์ขั้นพื้นฐานสำหรับคนที่จะเริ่มทำ SEO ว่าต้องเริ่มที่ตรงไหนก่อนบ้าง เราจะแอบกระซิบบอกให้ว่าถ้าทุกคนซื้อแพ็คเกจ SEO กับเหล่าเอเจนซี่ต่างๆ ร้อยทั้งร้อยทุกคนก็จะเริ่มต้นแคมเปญให้คุณจากเรื่องพื้นฐานเหล่านี้แหละค่ะ
เข้าใจประเภทของการทำ SEO แบบคร่าวๆ
การทำ SEO นั้นมีหลายประเภทนะคะ เบื้องต้นสามารถจัดกลุ่มได้ 3 ประเภท คือ
ซึ่งเช็คลิสท์พื้นฐานแต่ละข้อที่เราทำมาฝากกันก็มาจากเทคนิคเบสิคจาก 2 ใน 3 ประเภทของการทำ SEO ทั้งสามแบบนั้นแหละค่ะ นอกจากนี้ยังมีเช็คลิสท์ที่เริ่มตั้งแต่การ Setup แคมเปญอีกด้วย มีอะไรบ้างลองดูภาพรวมกันหน่อย ก่อนจะไปดูคำอธิบายของแต่ละข้อ
ติดตั้ง Google Tag Manager
Google Tag Manager คือ ระบบจัดการแท็กฟรีจากกูเกิลที่ช่วยให้เราอัปเดตโค้ดติดตามและโค้ดย่อยต่างๆ บนเว็บของเรา พูดถึงคำว่าโค้ดหลายคนอาจจะส่ายหน้า ไม่อยากยุ่ง ไม่เกี่ยวกับเรา เป็นเรื่องของโปรแกรมเมอร์หรือเปล่า แต่หน้าตาของ Google Tag Manager หรือ GTM นั้นใช้งานได้ง่ายมากจริงๆ ไม่ต้องมีพื้นฐาน ไม่จำเป็นต้องเขียนเว็บเป็นก็พอที่จะสามารถติดตั้งโค้ดบางอย่างเองได้ง่ายๆ เช่น แท็ก Google Analytics แท็ก Google Ads หรือ แท็ก Facebook Pixel
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เป็นพื้นฐานมากๆ หากจะเริ่มทำอะไรสักอย่างกับเว็บไซต์ก็ต้องเริ่มด้วยสิ่งนี้ก่อน ถ้ามีเอเจนซี่ที่คอยดูแลเรื่องเหล่านี้ให้อยู่แล้ว ไม่ต้องทำเองก็ดีไป แต่อย่างน้อยตอนนี้เราก็เข้าใจมากขึ้นว่าเวลาที่คนพูดถึงการติดตั้ง GTM เค้าติดตั้งกันไปทำไม ทำไปเพื่ออะไร ทุกอย่างนั่นก็เพื่อความสะดวกสบายในการประสานงาน ลดขั้นตอน ประหยัดเวลานั่นเอง
ติดตั้ง Google Analytics
รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง ในโลกการทำการตลาดออนไลน์ก็เช่นกัน การติดตั้ง Google Analytics จะช่วยให้เราสามารถ “รู้เรา” ได้อย่างรอบด้าน เพราะการติดตั้ง Google Analytics จะทำให้ข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวกับเว็บไซต์ของเรา ไม่ว่าจะเป็นจำนวนของคนที่เข้าเว็บของเราในแต่ละวัน ดูได้อีกด้วยว่าเข้าเว็บเราผ่านอุปกรณ์อะไร เข้ามาจากช่องทางไหน และยังช่วยตรวจสอบพฤติกรรมผู้ใช้งานด้วยว่าทำอะไรบ้างบนเว็บของเรา
เอาเป็นว่า Google Analytics เป็นอีกหนึ่งบริการฟรีจากกูเกิลที่ยังไงก็ควรติดตั้ง ไม่งั้นเหมือนเราเสียโอกาสไปเยอะมาก เพราะข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับเว็บไซต์ของเรา รวมทั้งพฤติกรรมของผู้ใช้งานเว็บไซต์เรา จะมีส่วนช่วยให้เรากำหนดกลยุทธ์ที่เหมาะสม นำมาวิเคราะห์และปรับปรุงเว็บไซต์ให้ดีขึ้นได้นั่นเอง
คลิกที่นี่เพื่อดูวิธีติดตั้ง Google Analytics แบบละเอียดกันเลยค่ะ
ติดตั้ง Yoast SEO
สำหรับใครที่ใช้ WordPress จะเห็นว่ามีปลั๊กอินมากมายให้เลือกใช้งาน ถ้าพูดถึงปลั๊กอินสำหรับ SEO ที่ได้รับความนิยมที่สุดตลอดการก็หนีไม่พ้น Yoast SEO ที่ไม่ว่าผ่านไปกี่ปีๆ ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นปลั๊กอินที่ดีที่สุดสำหรับการทำ SEO บน WordPress
ปลั๊กอินตัวนี้เรียกได้ว่าเหมือนเป็น interactive checklist ให้เราก็ว่าได้ เมื่อติดตั้งแล้วตัวปลั๊กอินจะช่วยเตือนเราเป็นข้อๆ ว่าเรายังขาดเหลือ หรือต้องลดเพิ่มอะไรบ้าง เพื่อช่วยเราปรับปรุงให้คอนเทนต์ในหน้านั้นให้เป็นคอนเทนต์ที่ SEO-friendly เพิ่มโอกาสที่จะติดอันดับดีๆ บนกูเกิลให้เรา
คลิกที่นี่เพื่อดูวิธีติดตั้ง Yoast SEO รวมทั้งวิธีใช้งานแบบละเอียดกันเลยค่ะ
ทำให้เว็บไซต์ Mobile Friendly
ข้อนี้เป็นข้อที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีความสำคัญอย่างมาก ลองดูจากการเก็บข้อมูลทางสถิติจากเว็บ statista.com ที่แสดงให้เราจะเห็นว่า ตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมา มากกว่า 50% ของ traffic ที่เข้าสู่เว็บไซต์ต่างๆ ทั่วโลกนั้นเป็น traffic ที่มาจากอุปกรณ์มือถือ (Mobile Device) แทบทั้งนั้น อีกทั้งยังมีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นเรื่อยๆ
การทำให้เว็บไซต์ของเราเป็น Mobile Friendly จึงมีความสำคัญเป็นอันดับแรกเลย เพราะไม่งั้นจะกลายเป็นว่าเราเสีย traffic ที่มาจากอุปกรณ์มือถือ ผลกระทบทางตรงก็คือผู้ใช้งานจะออกจากเว็บของเราไปเพราะการใช้งานที่ไม่สะดวก ส่วนผลกระทบทางอ้อมก็คือทำให้ภาพลักษณ์ของธุรกิจหรือเว็บไซต์ของเราดูล้าสมัยไปถนัดใจ
นอกจากนี้การที่เว็บไซต์ของเราเป็นเว็บไซต์ที่เป็น Responsive Design หรือมีดีไซน์ที่สามารถแสดงผลได้ดีบนขนาดของหน้าจอต่างๆ ไม่ว่าจะมือถือ ไอแพด หรือแท็บเล็ตอื่นๆ ยังส่งผลต่ออันดับในกูเกิลของเราอีกด้วย เพราะแน่นอนว่ายิ่งเว็บของเรา friendly และแสดงผลได้ดีกับผู้ใช้บนทุกอุปกรณ์ กูเกิลก็จะให้คะแนนเว็บไซต์ของเราในส่วนนี้ ช่วยชี้วัดได้ว่าเราเป็นเว็บไซต์ที่ใส่ใจกับประสบการณ์บนเว็บไซต์ของผู้ใช้งาน
วิธีง่ายๆ ที่ทำให้เว็บเป็น Mobile Friendly
• เลือกใช้ธีม WordPress ที่เป็น Responsive Design อย่าเห็นแก่ของถูก ของฟรี เลือกธีมที่มั่นใจว่าจะแสดงผลได้ดีบนขนาดหน้าจอทุกรูปแบบ
• หมั่นทำ Mobile-friendly test สม่ำเสมอเพื่อให้มั่นใจว่าเว็บของเราอยู่ในเกณฑ์คะแนนที่ดี
• หลีกเลี่ยงการใช้ Flash และ Pop-ups ในการแสดงผล
ทำ HTTPS ให้เว็บไซต์
เว็บไซต์ก็เหมือนบ้านหลังหนึ่งที่เราเช่าไว้เป็นร้านขายของ เราจะอยู่อย่างปลอดภัยได้ก็ต้องมีการติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัย ความปลอดภัยที่ว่าก็คือ ทั้งความปลอดภัยของเราและความปลอดภัยลูกค้าที่มาเยือนหรือมาซื้อของ ซึ่งทางหนึ่งที่จะทำให้เว็บไซต์ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายๆ และผู้ประกอบการไม่ควรที่จะมองข้ามเพียงเพราะกลัวจะยุ่งยาก ก็คือ การติดตั้ง HTTPS หรือ SSL นั่นเอง
HTTPS หรือ SSL คือ เทคโนโลยีที่ใช้สำหรับเข้ารหัสข้อมูลเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการส่งข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ให้เราปลอดภัยจากการถูกแฮกด้วยนั่นเอง ฟังดูเหมือนซับซ้อน แต่การติดตั้งนั้นไม่ยากเลย เพราะ SSL มีให้เลือก 3 แบบ ซึ่งแบบที่ง่ายและรวดเร็วที่สุดใช้เวลาเพียงไม่กี่คลิกก็ได้มาแล้ว แต่เพียงไม่กี่คลิกก็ช่วยทำให้เว็บของเราปลอดภัยและน่าเชื่อถือ ลูกค้าจะซื้อของหรือใช้บริการจากเราก็สามารถซื้อได้อย่างวางใจ
ปรับปรุงสปีดของเว็บไซต์ให้โหลดเร็ว
สปีดของเว็บเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ไม่ต้องไปดูที่ไหนไกล ดูพฤติกรรมของตัวเราเองในการใช้งานเว็บไซต์ต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต ถ้าเราเจอเว็บอืดๆ ก็กดออกแบบไม่ลังเลเลย เพราะทนรอกันไม่ได้ ดังนั้นเพื่อให้เข้ากับยุคดิจิทัลที่มาเร็วเคลมเร็วแบบนี้ สปีดของเว็บไซต์เราจะต้องห้ามตกเด็ดขาด จำไว้ว่ายิ่งเว็บเราช้า คนยิ่งจะกดออกเยอะ ยิ่งคนกดออกเยอะ กูเกิลยิ่งไม่ชอบ ทำให้อันดับเราร่วงลงเอาง่ายๆ หรือไม่ติดอันดับ
วิธีง่ายๆ ที่จะคอยดูแลสปีดของเว็บไซต์ของเรา
• เลือกโฮสติ้งที่ดี มีคุณภาพ อย่าเห็นแก่ของถูก เลือกให้เหมาะสมกับขนาดของเว็บไซต์ของเรา
• ติดตั้งปลั๊กอินเท่าที่จำเป็น บีบอัดรูปภาพก่อนนำมาใช้งานบนเว็บ
• หมั่นทำ Speed test สม่ำเสมอเพื่อให้มั่นใจว่าสปีดของเว็บเราอยู่ในเกณฑ์คะแนนที่ดี
• ติดตั้งปลั๊กสำหรับเก็บ Cache เช่น WP Super Cache และปลั๊กอินที่ช่วยจัดการลบข้อมูลที่ไม่จำเป็นออกไป เช่น WP Optimize
เข้าใจหลักการของคีย์เวิร์ดและทำคีย์เวิร์ดรีเสริช
คีย์เวิร์ดถือเป็นหัวใจของการทำ SEO หากจะให้เปรียบก็เปรียบเหมือนการเลือกทำเลให้เข้ากับประเภทธุรกิจ อยากขายของดี ทำเลที่ดีคือเรื่องสำคัญ ในโลกออนไลน์ก็เหมือนกัน ต้องรู้จักพาตัวเองไปอยู่ในทำเลที่ถูกต้องเหมาะสม ดังนั้นสำคัญมากที่ผู้ประกอบการต้องเข้าใจว่าคีย์เวิร์ดคืออะไร
คีย์เวิร์ด (Keyword) คือ คำหรือวลีที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตใช้ตอนค้นหาข้อมูลในกูเกิล ซึ่งตรงนี้นี่เองทำให้การทำความเข้าใจคีย์เวิร์ดสำคัญมากสำหรับผู้ประกอบการ เพื่อที่จะได้เลือกใช้คีย์เวิร์ดบนเว็บไซต์ให้สัมพันธ์กับสินค้าและบริการของเรามากที่สุด ต้องมีการทำคีย์เวิร์ดรีเสริช (Keyword Research) โดยผู้เชี่ยวชาญ เพราะนั่นแปลว่าสินค้าและบริการของเรามีโอกาสที่จะเข้าใกล้กลุ่มเป้าหมายที่ถูกต้องเพิ่มขึ้น และลงท้ายที่การมียอดขายเพิ่มขึ้นได้นั่นเอง
ใช้คีย์เวิร์ดให้ถูกที่และใช้อย่างเป็นธรรมชาติ
เมื่อเข้าใจแล้วว่าคีย์เวิร์ดคืออะไร สำคัญกับ SEO ตรงไหนไปแล้ว ก็มาดูหลักการใช้คีย์เวิร์ดที่ทำตามกันได้แบบง่ายๆ กัน
การใช้คีย์เวิร์ดไม่ใช่การสักแต่ว่าจะยัด จะต้องใช้ให้เหมาะสมกับเนื้อหาที่เราต้องการจะนำเสนอ หรือสารที่เราต้องการส่งไปยังคนอ่าน
หลักการง่ายๆ สำหรับมือใหม่ก็คือ
1) ใช้คีย์เวิร์ดที่ต้องการใน URL
2) ใช้คีย์เวิร์ดที่ต้องการใน Title Tag และ
3) ใช้คีย์เวิร์ดที่ต้องการใน Meta Description
สามจุดนี้คือจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ
A/N: ทีนี้เราลองย้อนกลับไปเช็คลิสต์ข้อที่ 3 ที่พูดถึง Yoast SEO หรือการใช้ปลั๊กอินที่ช่วยเตือนว่าเราควรจะปรับปรุงคอนเทนต์เรายังไงบ้าง ถ้าเราติดตั้งปลั๊กอินนี้ไปแล้วล่ะก็หายห่วงเรื่องนี้ไปได้เลย เพราะปลั๊กอินจะคอยเตือนให้เราใช้คีย์เวิร์ดที่เราต้องการโฟกัสตามจุดต่างๆ เหล่านี้นั่นเอง
สร้างคอนเทนต์ที่มีประโยชน์และอ่านง่าย
หลายคนอาจเคยได้ยินประโยคที่พูดกันว่า Content is King กันมาก่อน ซึ่งไม่ว่าผ่านไปกี่ปีๆ ก็ยังใช้ได้อยู่ เพราะการเขียนคอนเทนต์ที่มีคุณภาพที่คำนึงถึงคนอ่านว่าจะได้ประโยชน์อะไรจากเรา อีกทั้งยังมีการจัดฟอร์แมตให้อ่านง่ายมีความสำคัญไม่เคยเปลี่ยนแปลง ใครจะอยากอ่านคอนเทนต์ของเรา ถ้าผู้อ่านไม่ได้ประโยชน์หรือได้ข้อมูลที่ต้องการจากการอ่าน
หลายคนอาจจะเคยได้ยินมาก่อนว่ากูเกิลชอบคอนเทนต์ที่ยาวๆ แต่การเขียนคอนเทนต์ที่ดีไม่จำเป็นว่าต้องยาวมากเสมอไป ที่ดูเหมือนว่ากูเกิลจะชอบคอนเทนต์ที่ยาวก็เป็นเพราะปกติคอนเทนต์ที่ยาวจะแทรกสาระและความรู้ได้มากกว่าคอนเทนต์สั้นๆ แต่จริงๆ เราไม่ต้องเน้นปริมาณก็ได้ ลองเขียนคอนเทนต์ที่ความยาวพอดีๆ เน้นที่คุณภาพและสื่อสารในสิ่งที่ต้องการได้ครบถ้วนดีกว่าค่ะ
A/N: ขอย้อนกลับไปที่เช็คลิสต์ข้อที่ 3 อีกรอบ ที่เราพูดถึง Yoast SEO ไป นอกจากจะคอยช่วยเรื่อง SEO แล้ว เจ้าปลั๊กอินที่ว่ายังมีการให้คะแนน Readibility Score เพื่อให้เราค่อยเช็คคอนเทนต์ในขณะที่กำลังเขียนไปด้วยว่าน่าอ่านแค่ไหน SEO-friendly หรือยัง ถึงได้บอกว่าการติดตั้งปลั๊กอินตัวนี้ก็จะเหมือนเรามีผู้ช่วยในการทำ SEO ที่ คอยสะกิดเตือนเราได้ทุกเรื่องจริงๆ
อย่าใช้ URL ที่ยาวเกินไป
พอได้รู้ว่าควรใส่คีย์เวิร์ดใน URL ด้วยเพื่อช่วยเรื่องอันดับ ก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องกระหน่ำใส่คีย์เวิร์ดเยอะๆ ควรใส่แค่เฉพาะคีย์เวิร์ดที่เราต้องการโฟกัสสำหรับเพจนั้นๆ ก็พอ
มีการเก็บข้อมูลมาแล้วว่า URL สั้นๆ จะติดอันดับได้ดีกว่า URL ยาวๆ เพราะ URL สั้นๆ จะช่วยให้กูเกิลเข้าใจได้ง่ายกว่าว่าเพจหน้านั้นเกี่ยวกับอะไร การมี URL ที่ใส่คีย์เวิร์ดยาวจนเกินไปและมีส่วนประกอบอื่นๆ เพิ่มเข้ามามากเกินไปอาจจะยิ่งทำให้สับสนมากกว่าจะเป็นผลดี
ได้เวลาลงมือทำ
จบกันไปแล้วกับเช็คลิสท์ทั้ง 10 ข้อที่เราคัดสรรมาอย่างดีว่าจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนที่เริ่มทำ SEO ที่ต้องรู้ เครื่องมืออะไรบ้างที่ต้องมีและต้องติดตั้ง ที่สำคัญที่สุดต้องเริ่มต้องทำตั้งแต่ตอนนี้
เช็คลิสท์ที่เรานำมาฝากวันนี้ยังเป็นแค่น้ำจิ้มเบาๆ นะคะ อย่าลืมกดติดตามเว็บไซต์ของเรานะคะ เพราะเราจะนำวิธีทำ SEO ที่เข้มข้นกว่านี้ ละเอียดกว่านี้มาฝากอีกแน่นอนค่ะ