เพราะการทำ SEO ไม่ใช่เพียงการสร้างสรรค์คอนเทนต์และมีเนื้อหาบทความที่อัดแน่นไปด้วยคีย์เวิร์ดตามเทรนด์แล้วนำมาอัปโหลดลงเว็บไซต์เท่านั้น แต่การทำ SEO นั้นมีองค์ประกอบมากมายที่จะช่วยให้บทความหรือเว็บไซต์นั้น ๆ ของคุณมีคุณภาพและได้รับการยอมรับจาก Google ซึ่งหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญในการทำ SEO ให้ได้คุณภาพที่ดีนั้นก็คือ Meta Tag ที่จะช่วยบ่งบอกว่าคอนเทนต์ที่คุณต้องการจะสื่อในหน้าเว็บไซต์นั้น ๆ หมายถึงอะไร มีเนื้อหาน่าสนใจมากน้อยเพียงใด แต่จริง ๆ แล้ว Meta Tag คืออะไรกันแน่หรือมีความสำคัญอย่างไรในการทำ SEO และจะมีวิธีการใช้งาน การเขียน Meta Tag อย่างไรให้น่าสนใจ ให้คุณภาพเว็บไซต์ดีขึ้นได้บ้างนั้น ตามมาอ่านพร้อม ๆ กันเลยค่ะ
Meta Tags คืออะไร?
![](https://searchstudio.digital/wp-content/uploads/2024/01/html-system-websites-concept-768x512.webp)
Meta Tag หรือ Meta Data คือ กลุ่มคำ วลี หรือข้อความที่เขียนอธิบายเกี่ยวกับเนื้อหาภายในเว็บไซต์นั้น ๆ ไว้โดยย่อว่าเกี่ยวกับอะไร จะไม่ปรากฎอยู่หน้าเว็บไซต์หรือหน้าการค้นหาของเว็บไซต์นั้น ๆ แต่จะปรากฎเป็นชุดข้อมูลรูปแบบ HTML ที่สามารถมองเห็นได้หลังบ้านหรือหน้า Source Code เท่านั้น โดย Google หรือเว็บ Search Engines ต่าง ๆ ก็จะรับรู้ผ่านการใช้ Meta Tag ว่าจริง ๆ แล้วเว็บไซต์ของคุณมีข้อมูลเนื้อหาอย่างไร และดึงมาใช้ในหน้าผลการค้นหาเพื่อตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการเสิร์ชข้อมูลนั่นเองค่ะ
Meta Tags ช่วยในการทำ SEO อย่างไร?
สำหรับมือใหม่หัดทำ SEO จำเป็นที่จะต้องรู้จักองค์ประกอบของเว็บไซต์ให้ครอบคลุม โดยเฉพาองค์ประกอบขั้นพื้นฐานอย่าง Meta Tags ที่จะช่วยทำให้ SEO ของคุณนั้นมีคุณภาพมากยิ่งขึ้นได้ ซึ่ง Meta Tags มีความสำคัญอย่างมากต่อการทำ SEO เพราะยิ่งถ้าคุณเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่เหมาะสม ตรงกลุ่มเป้าหมายมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งส่งผลต่อการทำ SEO และการจัดอันดับการค้นหาของ Search Engines อย่าง Google มากเท่านั้น ขณะเดียวกันก็สามารถดึงดูดผู้ใช้งานให้เข้ามาคลิกเว็บไซต์เพื่อดูรายละเอียดต่าง ๆ ภายในมากยิ่งขึ้นอีกด้วยค่ะ
Meta Tag มีกี่ประเภท? เขียนยังไงให้ตอบโจทย์การทำ SEO
![](https://searchstudio.digital/wp-content/uploads/2024/01/5351316-768x768.jpg)
เพื่อให้การใช้งาน Meta Tag เป็นไปอย่างเหมาะสมและตอบโจทย์การทำ SEO ได้อย่างตรงจุดมากที่สุด ก่อนอื่นต้องมาทำความรู้จักกับ Meta Tag แต่ละประเภทกันก่อนว่ามีรูปแบบการใช้งานอย่างไร ซึ่งก็มี Meta Tag ให้เลือกใช้มากมายหลายรูปแบบด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น
Title Tag
เริ่มกันที่ Meta Tag ที่จำเป็นต้องใช้งานมากที่สุดอย่าง Title Tag ซึ่งก็คือ คำ วลี หรือข้อความที่ทำหน้าที่เป็นชื่อของบทความหรือเว็บไซต์นั้น ๆ โดยจะปรากฎชัดเจนในบริเวณแถบในเว็บไซต์หรืออาจปรากฎอยู่ใน Headline บน Search Engines ต่าง ๆ ซึ่ง Title Tag นั้นจะเป็นตัวที่ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าใจได้ทันทีเลยว่าเว็บไซต์นี้มีเนื้อหาหลัก ๆ คืออะไร และถ้าเมื่อไหร่คุณตั้ง Title Tag ได้ชัดเจน ตอบโจทย์สิ่งที่ผู้ใช้งานต้องการจะรู้ก็จะยิ่งชวนให้พวกเขากดเข้ามาอ่านเนื้อหาเพิ่มเติมภายในเว็บไซต์ของคุณทันทีค่ะ โดยควรมีความยาวไม่เกิน 55 ตัวอักษรและที่สำคัญไม่ควรมีชื่อ Title Tag ไปซ้ำกับชื่อที่มีอยู่จะดีที่สุด เพราะอาจส่งผลต่อการจัดอันดับการค้นหาของ Google ได้ค่ะ
Meta Description
Meta Description คือ วลี หรือประโยคข้อความที่คอยอธิบายและสรุปเนื้อหาภายในเว็บไซต์นั้น ๆ ว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องราวใด โดยปกติแล้วจะปรากฎอยู่ด้านล่างชื่อบทความหรือ Title Tag ของหน้าเครื่องมือค้นหาต่าง ๆ ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่ง Meta Tag ที่มีความสำคัญอย่างมาก เพราะก็สามารถช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าใจเนื้อหาโดยย่อและตัดสินใจกดเข้าชมเว็บไซต์ได้ทันที โดย Meta Description นั้นควรมีความยาวอยู่ที่ 150-165 ตัวอักษร และจำเป็นต้องอัดคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมเข้าไปเพื่อช่วยให้ติด SEO ได้ง่ายขึ้นด้วยนะคะ
Alt Text
เพิ่มประสิทธิภาพการทำ SEO ให้ง่ายมากยิ่งขึ้น ด้วยการเปลี่ยนจากรูปภาพให้กลายเป็น Meta Tag ชั้นยอดอัดแน่นไปด้วยคีย์เวิร์ดที่จะช่วยปรับปรุงคุณภาพเว็บไซต์ของคุณได้อย่างตรงจุด โดยควรมีความยาวประมาณ 50-55 ตัวอักษรเท่านั้น และควรเลือกคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง หรือสอดคล้องกับเนื้อหา รูปภาพที่เลือกมาร่วมด้วย ก็จะช่วยให้ผู้อ่าน หรือผู้ใช้งานเว็บไซต์เข้าใจได้ทันทีว่ารูปภาพนั้นต้องการสื่ออะไร และยังส่งผลดีต่อการให้คะแนนจัดอันดับของ Google อีกด้วยค่ะ
Header Tag
ในการเขียนบทความหรือเว็บไซต์เพื่อให้ผู้อ่านหรือผู้ใช้งานเข้าใจได้ง่ายนั้น ควรมีการแบ่งแยกเนื้อหาเป็นหัวข้อหลัก หัวข้อย่อยต่าง ๆ ให้ชัดเจน โดย Header Tag นับว่าเป็นอีกหนึ่ง Meta Tags ที่สามารถช่วยพัฒนาคุณภาพเว็บไซต์และตอบโจทย์การทำ SEO ได้ดีเลยทีเดียว ซึ่ง Header Tag จะมีตั้งแต่ H1 หรือหัวข้อบทความที่ใหญ่ที่สุด ไล่ระดับความสำคัญลงมาเรื่อย ๆ จนถึง H6 ทั้งนี้อย่าลืมคำนึงถึงการเลือกใช้คีย์เวิร์ดอย่างเหมาะสมด้วยนะคะ
Robot Meta Tag
Robot Meta Tag นั้นจะเป็นชุดข้อความที่มีการทำงานร่วมกับ Search Engines โดยตรง คอยกำหนดว่าเครื่องมือค้นหาเหล่านี้ควรสำรวจเว็บไซต์เราอย่างไร มีข้อป้องกันอย่างไรบ้าง ซึ่งก็มี Robot Meta Tag ที่ใช้งานอยู่หลากหลายด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Noindex หมายถึงไม่ให้แสดงผลอยู่บนหน้าการค้นหา (SERP) Nofollow ห้ามไม่ให้ AI ของ Google มาสำรวจภายในเว็บไซต์ Noarchive ห้ามแคช (cache) หรือแสดงผลหน้าการค้นหา เป็นต้น ขณะเดียวกันในกรณีที่คุณใช้ตัวจัดการเว็บไซต์อย่างเช่น WordPress หรือ Wix นั้นก็จะมี Plug-in เกี่ยวกับ Robot Meta Tag ให้เลือกใช้อีกมากมายเช่นกัน
Canonical Tag
รู้หรือไม่? การที่เรามีข้อมูลภายในเว็บซ้ำ ๆ กันหลายอาจทำให้ Google ประเมินคุณภาพของเว็บไซต์เราต่ำลงได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีบทความหรือหน้าเว็บไซต์ที่เนื้อหาใกล้เคียงกันเยอะจนเกินไป อาจทำให้ Google หรือเครื่องมือค้นหาประเภทอื่น ๆ สับสนได้ว่าจริง ๆ แล้วเนื้อหาหลักของเว็บไซต์คืออยู่หน้าไหนกันแน่ และสิ่งที่จะช่วยให้เครื่องมือค้นหาสามารถหาหน้าเว็บไซต์หลักได้ก็คือชุดข้อความ Meta Tag ประเภท Canonical Tag นั่นเองค่ะ โดยนำชุดข้อความไปใส่ในหน้าเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาซ้ำกัน หรืออาจอาศัย Plug-in ของ WordPress อย่าง Yoast เพื่อสร้าง Canonical Tag ก็ได้เช่นกันค่ะ
Meta Charset
Meta Charset หมายถึงชุดตัวอักษรที่จะแสดงบนหน้าเว็บไซต์อย่างถูกต้อง มีอยู่ด้วยกันอยู่นับร้อยกลุ่ม แต่ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายมากที่สุดนั้นจะมีอยู่ 2 กลุ่มด้วยกัน คือ UTF-8 หรือตัวอักษรสำหรับเข้ารหัสของ Unicode และ ISO-8859-1 สำหรับเข้ารหรัสของ Latin Alphabet ซึ่งเป็นหนึ่งประเภทการใช้งาน Meta Tag ที่สำคัญอย่างมาก เพราะถ้าเมื่อไหร่หน้าเว็บของคุณแสดงผลตัวอักษรผิดเพี้ยน ผู้ใช้งานอ่านไม่ออก ไม่ได้รับข้อมูลที่ต้องการอย่างชัดเจนแล้ว อาจทำให้ผู้ใช้งานปิดหน้าเว็บไซต์และส่งผลต่อคะแนนการจัดอันดับของ Google ได้ในที่สุดได้ค่ะ
Viewport Tag
Viewport Tag หมายถึงชุดข้อความที่จะช่วยปรับหน้าเว็บไซต์ของเราให้เข้ากับหน้าจอของอุปกรณ์ต่าง ๆ ถ้าถามว่ามีความสำคัญต่อการทำคะแนน SEO อย่างไรนั้น เราขอแนะนำว่าให้ลองนึกถึงเวลาเราเปิดหน้าเว็บไซต์หนึ่งขึ้นมาแล้วการแสดงผลนั้นอาจมีขนาดเล็กจิ๋วจนต้องซูมดูตัวอักษร หรือใหญ่เกินไปจนต้องหมุนจอ ซึ่งถ้าเจอแบบนี้ร้อยทั้งร้อยก็มีแต่จะปิดเว็บนั้นทิ้งแล้วหาเว็บใหม่ที่มีการแสดงผลที่น่าสนใจกว่าอย่างแน่นอน และการที่เว็บไซต์ของเราไม่ได้รับการสนใจมากเท่าที่ควร ก็อาจเป็นสัญญาณเชิงลบต่อการทำคะแนนของ Google ได้นั่นเองค่ะ อีกทั้งถ้า Google มองเห็นว่าเว็บไซต์ของเรามีการใช้ Viewport Meta Tag ก็อาจช่วยจัดอันดับเว็บไซต์เราให้อยู่ในอันดับที่เหมาะสมอีกด้วย
![](https://searchstudio.digital/wp-content/uploads/2024/01/lalo-hernandez-SYPm1x95IrY-unsplash-768x960.webp)
เรียกได้ว่า Meta Tag เป็นเครื่องมือพื้นฐานในการทำเว็บไซต์ที่สายนักการตลาดต้องใช้เป็น และควรทำความรู้จักไว้อย่างมาก เพราะไม่เพียงแต่จะเป็นการสรุปเนื้อหาภายในเว็บโดยย่อแล้ว ยังส่งผลดีต่อการทำ SEO หรือการค้นหาของ Google อย่างมีคุณภาพอีกด้วย อย่างไรก็ตามคุณจะเห็นได้ว่ามี Meta Tag ให้เลือกใช้มากมาย ฉะนั้นแล้วแนะนำว่าควรอัปเดทข้อมูลเกี่ยวกับอัลกอริทึมของ Google อยู่เสมอ เพื่อที่ว่าจะได้เว็บไซต์ที่มีคุณภาพตอบโจทย์การจัดอันดับคะแนนการค้นหาของ Google หรือ Search Engines ประเภทต่าง ๆ และสามารถตอบโจทย์ผู้ใช้งานเว็บไซต์ได้เป็นอย่างดีด้วยค่ะ